ดาวเนปจูน
ภาพดาวเนปจูนจากยานวอยเอเจอร์ 2
ถ่ายเมื่อ 16-17 สิงหาคม พ.ศ. 2532
ซึ่งการค้นพบดาวเนปจูน เมื่อครั้งที่มีการค้นพบดาวยูเรนัส ครั้งนั้นนักวิทยาศาสตร์พบว่าวงโคจรของดาวยูเรนัสมีความผิดปรกติไม่เป็นไปตามกฎของนิวตัน จึงตั้งข้อสังเกตกันว่า ถัดจากดาวยูเรนัสน่าจะต้องมีดาวเคราะห์ขนาดใหญ่อยู่ถัดออกไปที่มีขนาดใหญ่พอจะรบกวนวงโคจรของดาวยูเรนัสได้ และคำตอบของท้องฟ้าก็เผยขึ้นเมื่อ จอห์น คูช แอดัมส์ (John Couch Adams) นักคณิตศาสตร์ และนักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้ทำนายตำแหน่งดาวเนปจูนด้วยการคำนวณทางคณิตศาสตร์ เพื่อใช้อธิบายความผิดปกติของวงโคจรของดาวยูเรนัส และในช่วงเวลาเดียวกันนั้น เออร์เบียน โจเซฟ เลอ เวอเรียร์ (Urbain Joseph Le Verrier) นักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศสผู้เชี่ยวชาญด้าน Celestial mechanics ทำงานประจำหอดูดาวปารีส ก็ได้ใช้วิธีทำการคำนวณทางคณิตศาสตร์อาศัยข้อมูลตำแหน่งของการค้นพบดาวพฤหัส,เสาร์และยูเรนัส เพื่อช่วยเหลือเพื่อนนักดาราศาสตร์เยอรมัน ชื่อ โจฮัน ก็อทฟรีด กาลล์ (Johann Gotfried Galle) เพื่อหาตำแหน่งของดาวที่ส่งผลต่อวงโคจรของดาวยูเรนัสเช่นกัน ในวันที่ในวันที่ 23 กันยายน ค.ศ.1846 ในคืนแรกของการสำรวจ ณ หอดูดาวเบอร์ลิน(Urania Observatory in Berlin) โดยความช่วยเหลือของลูกศิษย์ชื่อ ไฮน์ริช หลุยส์ เดอ อาร์เรสท์ (Heinrich Louis d'Arrest) ก็ได้ใช้กล้องส่องหาดาวเคราะห์ตามตำแหน่งที่ได้คำนวณไว้ และ Galle ก็คือนักดาราศาสตร์คนแรกที่เห็นดาวดวงที่ว่านี้ ในตำแหน่งที่ใกล้เคียงกับตำแหน่งที่คำนวณไว้
ภาพ Urbain LE VERRIER (1811—1877)
ภาพ John Couch Adams (1819—1892)
ภาพ Johann Gottfried Galle (1812—1910)
แต่เนื่องจากวงโคจรของดาวพลูโตเป็นวงรีมาก ในบางครั้งมันจะตัดกับวงโคจรของเนปจูน เมื่อดาวพลูโตข้ามเข้ามาในวงโคจรของดาวเนปจูน จึงทำให้เนปจูนเป็นดาวเคราะห์ซึ่งอยู่ไกลที่สุดในบางปี และด้วยความที่มีระยะทางห่างไกลจากโลกมากจนต้องใช้กล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่เท่านั้นจึงจะเห็นเป็นจุดริบหรี่เล็กๆได้ จึงรู้จักดาวเนปจูนผ่านทางกล้องอวกาศฮับเบิล หรือหอดูดาวที่มีกล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่เท่านั้น โดยส่วนใหญ่เป็นข้อมูลที่ได้มาจากยานวอยเอเจอร์ 2 (Voyager 2) ยานอวกาศเพียงลำเดียวที่ไปเยือนดาวเนปจูน เมื่อปี วันที่ 25 สิงหาคม ค.ศ.1989 (พ.ศ.2532)
สัญลักษณ์ของดาว
ตรีศรของเทพเนปจูน สัญลักษณ์ดาวเนปจูนเป็นรูปตรีศร หรือสามง่าม เนปจูนเป็น เทพเจ้าแห่งทะเล ของโรมัน มีสามง่ามเป็นอาวุธ
สมบัติของดาว
ดาวเนปจูน คือดาวเคราะห์ในระบบสุริยะลำดับสุดท้ายที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ (ขึ้นอยู่กับการโคจรของดาวพลูโต ซึ่งบางครั้งจะเข้ามาอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่า แต่ปัจจุบันดาวพลูโตเป็นดาวเคราะห์แคระแล้ว) ตัวดาวมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่เป็นอันดับที่ 4 รองจากดาวพฤหัส ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และมีมวลเป็นลำดับที่ 3 รองจากดาวพฤหัสและดาวเสาร์จุโลกได้ถึง 60 ดวง โคจรห่างจาก ดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 8 เป็นดาวเคราะห์ก๊าซที่มีองค์ประกอบคล้ายกับดาวยูเรนัส คือ ไฮโดรเจน และฮีเลียม ผสมกับ แอมโมเนีย มีเทนแข็ง โดยมีใจกลางเป็นแกนหินขนาดเท่าโลก ตารางแสดงข้อมูลขนาดของดาวเนปจูน

ดาวเนปจูนอยู่โคจรอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เฉลี่ย 4,500 ล้านกิโลเมตร หรือประมาณ 30 เท่าของระยะทางจากโลกถึงดวงอาทิตย์ เวลา 1 ปีของดาวเนปจูนหรือระยะเวลาที่ดาวเนปจูนใช้ในการโคจรรอบดวงอาทิตย์หนึ่งรอบยาวถึง 165 ปีของโลก นั่นคือตั้งแต่เรารู้จักดาวเนปจูนในปี ค.ศ. 1848 ดาวเนปจูนยังโคจรรอบดวงอาทิตย์ไม่ครบหนึ่งรอบเสียด้วยซ้ำ ที่ระยะห่างนี้แม้แต่แสงจากดวงอาทิตย์ก็ยังต้องใช้เวลากว่า 4 ชั่วโมง จึงจะเดินทางถึงดาวเนปจูน (ในขณะที่ใช้เวลาเพียง 8 นาที 20 วินาที ในการเดินทางมาถึงโลก)
ดาวเนปจูน คือดาวเคราะห์ในระบบสุริยะลำดับสุดท้ายที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ (ขึ้นอยู่กับการโคจรของดาวพลูโต ซึ่งบางครั้งจะเข้ามาอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่า แต่ปัจจุบันดาวพลูโตเป็นดาวเคราะห์แคระแล้ว) ตัวดาวมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่เป็นอันดับที่ 4 รองจากดาวพฤหัส ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และมีมวลเป็นลำดับที่ 3 รองจากดาวพฤหัสและดาวเสาร์จุโลกได้ถึง 60 ดวง โคจรห่างจาก ดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 8 เป็นดาวเคราะห์ก๊าซที่มีองค์ประกอบคล้ายกับดาวยูเรนัส คือ ไฮโดรเจน และฮีเลียม ผสมกับ แอมโมเนีย มีเทนแข็ง โดยมีใจกลางเป็นแกนหินขนาดเท่าโลก
กึ่งแกนเอก
|
4,498,252,900 กม.(30.06896348 หน่วยดาราศาสตร์)
|
เส้นรอบวงของวงโคจร
|
28.263 เทระเมตร(188.925 หน่วยดาราศาสตร์)
|
ความเยื้องศูนย์กลาง
|
0.00858587
|
ความเอียง
|
1.76917°(6.43° กับศูนย์สูตรดวงอาทิตย์)
|
ระยะมุมจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด
|
273.24966°
|
เส้นผ่านศูนย์กลางตามแนวศูนย์สูตร
|
49,528 กม.(3.883×โลก)
|
เส้นรอบวงบริเวณเส้นศูนย์สูตร
|
155,597 km
|
ปริมาตร
|
6.2526 x 1013 km3
|
มวล
|
1.0247 x 1026 kg
|
มวล (โลก = 1)
|
17.15 เท่าของโลก
|
เส้นผ่านศูนย์กลางตามแนวขั้ว
|
48,681 กม.(3.829×โลก)
|
ความหนาแน่นเฉลี่ย
|
1.76 g/cm3
|
วงโคจร
|
4,498,000,000 (2,796 million miles, 30.1 AU)จากดวงอาทิตย์
|
ค่าความรีของวงโคจร
|
0.00859
|
ความแป้น
|
0.0171
|
พื้นที่ผิว
|
7.619×109 กม.²(14.937×โลก)
|
รัศมีบริเวณเส้นศูนย์สูตร
|
24,764 km
|
ความเอียงของแกน
|
28.32°
|
ดาวเนปจูนมีสีน้ำเงิน เนื่องจากองค์ประกอบหลักของบรรยากาศผิวนอกเป็น ไฮโดรเจน ฮีเลียม และมีเทนบรรยากาศของดาวเนปจูน มีกระแสลมที่รุนแรง (2500 กม/ชม.) อุณหภูมิพื้นผิวอยู่ที่ประมาณ -220℃ (-364 °F) ซึ่งหนาวเย็นมาก เนื่องจาก ดาวเนปจูนอยู่ไกลดวงอาทิตย์มาก แต่แกนกลางภายในของดาวเนปจูน ประกอบด้วยหินและก๊าซร้อน อุณหภูมิประมาณ 7,000℃ (12,632 °F) ซึ่งร้อนกว่าพื้นผิวของดวงอาทิตย์เสียอีก เนื่องจากก๊าซมีเทนในบรรยากาศชั้นบน ดูดซับแสงสีแดงไว้ ทำให้เรามองเห็นดาวเนปจูนมีสีน้ำเงินคล้ายกันกับดาวยูเรนัสซึ่งโครงสร้างของดาวเนปจูนดาวเนปจูนมีขนาดและโครงสร้างที่ใกล้เคียงกับดาวยูเรนัสโดยมีแกนกลางเป็นหินและน้ำแข็ง ซึ่งมีมวลประมาณ 1.2 เท่าของแกนของโลกเรา มีความดันประมาณ 7 ล้านบาร์ ซึ่งมากกว่าความดันบรรยากาศบนพื้นโลกกว่าล้านเท่าและคาดว่ามีอุณหภูมิสูงกว่า 5400 เคลวิน
โครงสร้างของดาวเนปจูน โครงสร้างของดาวเนปจูนชั้นแมนเทิลของดาวเนปจูนประกอบด้วยน้ำ แอมโมเนีย และมีเทนที่มีอุณหภูมิ 2000 ถึง 5000 เคลวินและมีมวลประมาณ 10 ถึง 15 เท่าของมวลของโลก โดยชั้นของแมนเทิลนี่เองที่สร้างสนามแม่เหล็กรอบๆ ดาวเนปจูน ส่วนชั้นนอกสุดของดาวเนปจูนเป็นชั้นบรรยากาศที่ประกอบไปด้วยแก๊สไฮโดรเจน ฮีเลียม และมีเทนเนื่องจากดาวเนปจูนมีการโคจรรอบตัวเองที่รวดเร็วมากคือประมาณ 16.11 ชั่วโมง จึงทำให้ดาวเนปจูนมีลักษณะโป่งออกที่เส้นศูนย์สูตร โดยมีเส้นผ่านศูนย์กลางบริเวณเส้นศูนย์สูตรมากกว่าเส้นผ่านศูนย์กลางในแนวขั้วเหนือ-ใต้ประมาณ 848 กิโลเมตรก็เหมือนกับดาวยูเรนัส มีมหาสมุทร น้ำที่ลึกล้อมรอบแกนหินซึ่งอยู่ใจกลางของดาวเนปจูน บรรยากาศของดาวเนปจูนไม่เต็มไปด้วยหมอกเหมือนกับดาวยูเรนัส กล้องโทรทัศน์ขนาดใหญ่แสดงให้เห็นแถบกลุ่มควันขาวที่หมุนรอบดาวเนปจูน บรรยากาศจะเย็นมาก กลุ่มควันประกอบด้วยมีเทนที่แข็ง บางครั้งกลุ่มควันเหล่านี้จะกระจายออกและปกคลุมดาวเนปจูนทั้งดวง อาจมีลมพัดจัดบนดาวเนปจูน ลมเกิดจากอากาศร้อนที่ลอยขึ้น ลมเย็นพัดเข้าไปแทนที่ บนดาวเนปจูน ความร้อนต้องมาจากภายในเพื่อทำให้ลมพัดนักดาราศาสตร์ได้พบดาวบริวารสองดวงที่หมุนรอบดาวเนปจูน ดาวดวงหนึ่งมีขนาดเล็กชื่อว่า Neried ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 300 ไมล์ และหมุนรอบห่างจากดาวเนปจูน 3,475,000 ไมล์ ดาวบริวารดวงอื่นๆของดาวเนปจูนคือดาว Triton มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 2,100 ไมล์เป็นดาวบริวารที่ใหญ่เป็นที่สี่ ดาว Triton อาจมีบรรยากาศ มันอาจมีมหาสมุทรมีเธนและไนโตรเจนมันหมุนรอบดาวเนปจูนโดยห่างจากดาวเนปจูนเป็นระยะทาง 220,625 ไมล์ ดาว Triton หมุนรอบดาวเนปจูนในทิศทางตรงกันข้ามจากดาวบริวารส่วนใหญ่มันยังเคลื่อนไหวเข้าไกล้ดาวเนปจูนในเวลา 10 ล้าน ถึง 100 ล้านปี มันอาจปะทะกับดาวเนปจูนหรือมันอาจแตกออกเป็นชิ้นเล็กๆและก่อตัวเป็นรูปวงแหวนขนาดกว้างล้อมรอบดาวเนปจู ดาวบริวาร 1. Naiad
2. Thalassa
3. Despina
4. Galatea
5. Larissa
6. Proteus
7. Triton
8. Nereidบริวารของดาวเนปจูนจำนวน 13 ดวง ดาวบริวารที่ใหญ่ที่สุดของดาวเนปจูน คือ ไทรทัน (Triton) ซึ่งเป็นวัตถุที่เย็นที่สุดเท่าที่เคยพบมาในระบบสุริยะ (อุณหภูมิผิวประมาณ -235 องศาเซลเซียส) ดวงจันทร์ Triton จัดว่าเป็นดวงจันทร์ ที่สวยงามในระบบสุริยะดวงจันทร์ Triton มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2,707 ก.ม.อุณหภูมิพื้นผิว -235 องศา C รูปทรงสัณฐานสีสันที่มองเห็นมีแนวเฉดฟ้าอ่อนจาก Nitrogen ice เช่นเดียวกับไอของน้ำแข็งแห้ง ระบบสุริยะบริเวณที่มีก๊าซไนโตรเจน ในบรรยากาศเพียง 3 แห่ง คือ โลก ดวงจันทร์ไทตัน (Titan Moon) ของดาวเสาร์ และดวงจันทร์ไทรตัน (Triton Moon ) ดวงนี้ โดยมีส่วนผสมด้วยละอองอนุภาคสีดำ ขนาดเล็กเกิดจาก Ice carbonaceous
2. Thalassa
3. Despina
4. Galatea
5. Larissa
6. Proteus
7. Triton
8. Nereidบริวารของดาวเนปจูนจำนวน 13 ดวง ดาวบริวารที่ใหญ่ที่สุดของดาวเนปจูน คือ ไทรทัน (Triton) ซึ่งเป็นวัตถุที่เย็นที่สุดเท่าที่เคยพบมาในระบบสุริยะ (อุณหภูมิผิวประมาณ -235 องศาเซลเซียส) ดวงจันทร์ Triton จัดว่าเป็นดวงจันทร์ ที่สวยงามในระบบสุริยะดวงจันทร์ Triton มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2,707 ก.ม.อุณหภูมิพื้นผิว -235 องศา C รูปทรงสัณฐานสีสันที่มองเห็นมีแนวเฉดฟ้าอ่อนจาก Nitrogen ice เช่นเดียวกับไอของน้ำแข็งแห้ง ระบบสุริยะบริเวณที่มีก๊าซไนโตรเจน ในบรรยากาศเพียง 3 แห่ง คือ โลก ดวงจันทร์ไทตัน (Titan Moon) ของดาวเสาร์ และดวงจันทร์ไทรตัน (Triton Moon ) ดวงนี้ โดยมีส่วนผสมด้วยละอองอนุภาคสีดำ ขนาดเล็กเกิดจาก Ice carbonaceous
ดวงจันทร์ Triton เป็นดวงจันทร์ที่ใหญ่ที่สุดของดาวเนปจูน
ดวงจันทร์ Triton พื้นผิวจะแวววาวจากหินแข็ง ถูกหุ้มด้วยผลึกน้ำแข็ง มีส่วนประกอบของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ไนโตรเจน และก๊าซมีเทน ฟุ้งกระจาย เป็นหมอกบางๆเหนือพื้นโดยมีน้ำแข็งทั้งหมดประมาณ25%
น้ำพุแรงดันสูง บนดวงจันทร์ Triton
บรรยากาศเวลากลางวัน ของดวงจันทร์ Triton ด้านหลังคือ ดาวเนปจูน

ตารางแสดงข้อมูลของดาวเนปจูน
ค้นพบโดย โจฮัน ก็อทฟรีด กาลล์ (Johann Gotfried Galle)
| |
ระยะทางโดยเฉลี่ยจากดวงอาทิตย์
|
4,498,252,900 km
|
ระยะทางใกล้ที่สุดจากดวงอาทิตย์
|
4,459,630,000 km
|
ระยะทางไกลที่สุดจากดวงอาทิตย์
|
4,536,870,000 km
|
ระยะห่างจากดวงอาทิตย์ (โดยเฉลี่ย)
|
4.5 พันล้านกิโลเมตร
|
รัศมี (โดยเฉลี่ย)
|
24766 กิโลเมตร (3.883 เท่าของโลก)
|
คาบเวลาการโคจรรอบดวงอาทิตย์
|
60190 วัน (164.79 ปี)
|
คาบเวลาการหมุนรอบตัวเอง
|
16.11 ชั่วโมง
|
อุณหภูมิเฉลี่ย (cloud tops)
|
-220 ºC (-364 ºF)
|
อัตราเร็วเฉลี่ยในวงโคจร
|
5.432 กม./วินาที
|
อัตราเร็วสูงสุดในวงโคจร
|
5.479 กม./วินาที
|
อัตราเร็วต่ำสุดในวงโคจร
|
5.385 กม./วินาที
|
ลองจิจูดของจุดโหนดขึ้น
|
131.72169°
|
คาบซินอดิก
|
367.49 วัน
|
แรงดึงดูด at cloud tops (โลก = 1)
|
1.14 เท่าของโลก
|
หมุนครบรอบตัวเอง
|
16 ชั่วโมง
|
บรรยากาศ
|
80% hydrogen, 18.5% helium, 1.5% methane
|
ลักษณะเฉพาะทางกายภาพ
·ความโน้มถ่วงที่ศูนย์สูตร: 11.00 เมตร/วินาที² (1.122 จี)
·ความเร็วหลุดพ้น: 23.5 กม./วินาที
·คาบการหมุนรอบตัวเอง: 0.67125000 วัน (16 ชม. 6 นาที 36.00000 วินาที)
·ความเร็วการหมุนรอบตัวเอง: 2.68 กม./วินาที (9,660 กม./ชม.)
·ไรต์แอสเซนชันของขั้วเหนือ: 299.33° (19 ชม. 57 นาที 20 วินาที)
·เดคลิเนชันของขั้วเหนือ: 42.95°
·อัตราส่วนสะท้อน: 0.41
·อุณหภูมิพื้นผิว: อุณหภูมิเฉลี่ยที่ยอดเมฆ ต่ำสุด เฉลี่ย สูงสุด 50 K 53 K
ลักษณะเฉพาะของบรรยากาศ
·ความดันบรรยากาศที่พื้นผิว: 100-300 กิโลปาสกาล
·องค์ประกอบ: >84% ไฮโดรเจน >12% ฮีเลียม 2% มีเทน 0.01% แอมโมเนีย 0.00025% อีเทน 0.00001% อะเซทิลีนดาวเนปจูนเป็นโลกแห่งพายุ ภาพถ่ายจากยานวอยเอเจอร์ 2 พบ จุดดำใหญ่ (Great Dark Spot ) เป็นพายุหมุนขนาดใหญ่เท่าโลก อยู่ทางซีกใต้ของดาวเนปจูน ลักษณะคล้าย จุดแดงใหญ่ (Great Red Spot ) บนดาวพฤหัสบดี และจากการสังเกตของกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล เมื่อปี พ.ศ.2537 ยังพบจุดดำปรากฏทางซีกเหนือของดาวเนปจูนอีกด้วย นอกจากนั้นทางซีกใต้ยังมี กลุ่มเมฆหมุนวน ขนาดเล็ก สว่าง รูปร่างไม่คงที่ เคลื่อนที่ไปรอบดาวเนปจูน สันนิษฐานว่าอาจ เป็นกระแสอากาศหมุนวน พุ่งจากระดับล่างขึ้นสู่บรรยากาศระดับบน กระแสลมแรงบนดาวเนปจูน วัดความเร็วได้ถึง 2,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ภาพถ่ายจุดสีเข้มขนาดใหญ่อาจจะเป็นหลุมอยู่ในชั้นมีเทน
ดาวเนปจูนก็มีแหล่งความร้อนภายในเหมือนกับดาวพฤหัสบดีกับดาวเสาร์คือมันแผ่พลังงานออกมา 2 เท่าที่มันได้รับจากดวงอาทิตย์
|
ในวันที่ (Voyager 2 เข้าใกล้ดาวเนปจูน มันได้ส่งภาพกลับมายังโลก ซึ่งมีภาพที่มีจุดเด่นพิเศษนั้นก็คือ มองเห็น จุดมืดใหญ่ (Great dark spot) ทางซีกใต้ของดาว เป็นพายุหมุน โดยกระแสลมมีทิศทางพัดไปทางตะวันตกตะวันตก (สวนทางกับการหมุนรอบตัวเอง ด้วยความเร็ว 300 เมตร/วินาที ลักษณะคล้ายและมีขนาดใหญ่เกือบครึ่งหนึ่งของจุดแดงใหญ่ (Great Red Spot ) บนดาวพฤหัสบดี หรือมีขนาดพอ ๆ กับขนาดของโลก และพบจุดมืดขนาดเล็กกว่าอยุ่ในซีกฟ้าด้านใต้ เป็นกลุ่มเมฆขาวหมุนวนรูปทรงผิดปกติงไม่คงที่ ขนาดเล็ก สว่าง ซึ่งเคลื่อนที่ไปรอบ ๆ เนปจูน ทุก 16 ชั่วโมง ชั่วโมง ปัจจุบันแถบสีขาวนี้ถูกเรียกว่า "The Scooter" สันนิษฐานว่ามันอาจจะ สันนิษฐานว่าอาจ เป็นกระแสอากาศหมุนวน ยกตัวมาจากบรรยากาศนล่างพุ่งสู่บรรยากาศระดับบนชั้น
ในชั้นบรรยากาศมีกระแสลมที่รุนแรงมาก ความเร็วมีกระแสลมเร็วที่สุดในระบบสุริยะ คือ 2,000กม. /ชม. อุณหภูมิพื้นผิวประมาณ -220 องศาเซลเซียส เนื่องจากอยู่ไกลดวงอาทิตย์มาก แต่แกนกลางภายในของดาวเนปจูน ประกอบด้วยหินและก๊าซร้อนประมาณ 7,000 องศาเซลเซียส บนดาวเนปจูนความร้อนจะออกมาจากภายในสู่ภายนอก มากกว่าพลังงานที่รับจากดวงอาทิตย์ เพื่อทำให้ลมพัด มีแกนกลางที่มีขนาดเล็กเป็นแกนหินขนาดเท่าโลก มีน้ำและหินมีค่าใกล้เคียงกันสนามแม่เหล็กของดาวเนปจูนมีลักษณะแปลกประหลาดคล้ายของดาวยูเรนัส คือ มีแกนสนามแม่เหล็กเอียงออกมาจากแกนการหมุนรอบตัวเองถึง 47 องศา และไม่อยู่ในแนว ศูนย์กลางดวง แต่เคลื่อนห่างออกไป 0.55 ของรัศมีดวง หรือประมาณ 13,500 กิโลเมตร มีสภาพสนามแม่เหล็กที่ซับซ้อน คาดว่าเกิดจากสนามเหนี่ยวนำภายในชั้นเปลือก ของแกนกลางทำให้เกิดสนามแม่เหล็กขึ้นวงโคจรของดาวเนปจูนมีความรีน้อยมากเมื่อเทียบกับดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ (ยกเว้นดาวศุกร์) นั้นคือมีความกลมค่อนข้างมาก โดยมีจุดไกลดวงอาทิตย์มากที่สุด 4.54 พันล้านกิโลเมตร และจุดใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด 4.44 พันล้านกิโลเมตร คือมีความแตกต่างกันเพียงประมาณ 100 ล้านกิโลเมตรแกนหมุนของดาวเนปจูนมีความเอียง 28.3 องศาเมื่อเทียบกับระนาบการโคจรรอบดวงอาทิตย์ (ซึ่งคล้ายกับแกนโลกที่มีความเอียง 23.5 องศา) ซึ่งหมายความว่าบนดาวเนปจูนจะมีฤดูกาลเกิดขึ้นเช่นเดียวกันกับโลก แต่เนื่องจากดาวเนปจูนมีคาบเวลาการโคจรรอบดวงอาทิตย์ยาวนานถึง 164.8 ปี ฤดูกาลแต่ละฤดูกาลจึงยาวนานถึงประมาณ 40 ปี และเนื่องจากคาบเวลาการโคจรรอบดวงอาทิตย์ 164.8 ปีนี่เอง ทำให้ดาวเนปจูนยังโคจรไม่ครบ 1 รอบดีในปีนี้(ปี 2009) ตั้งแต่ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกในปี 1846 (จะโคจรครบ 1 รอบในปี 2011)ชั้นบรรยากาศของดาวเนปจูนประกอบด้วยแก๊สไฮโดรเจน 79 เปอร์เซนต์ ฮีเลียม 18 เปอร์เซนต์ แก๊สมีเทนและแก๊สอื่นๆอีก 3 เปอร์เซนต์ และแก๊สมีเทนในชั้นบรรยากาศนี่เองที่เป็นตัวดูดกลืนแสงสีแดงพร้อมทั้งสะท้อนแสงสีน้ำเงินทำให้เราสังเกตุเห็นดาวเนปจูนปรากฏเป็นสีน้ำเงินชั้นบรรยากาศของดาวเนปจูนมีความแปรปรวนสูงมีพายุขนาดใหญ่และกระแสลมที่รุนแรงมาก โดยอาจมีกระแสลมแรงถึง 2160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อุณหภูมิบนพื้นผิวของดาวเนปจูนมีความหนาวเย็นมากคือมีอุณหภูมิโดยเฉลี่ย -200 องศาเซลเซียส เนื่องจากว่าดาวเนปจูนอยู่ห่างไกลจากดวงอาทิตย์มาก ความร้อนจากดวงอาทิตย์จึงมีผลต่อดาวเนปจูนน้อยมาก ความร้อนส่วนใหญ่ที่มีผลต่อบรรยากาศบนดาวเนปจูนจึงมาจากความร้อนภายในแกนของดาวเนปจูนเองพายุความกดดันสูง หมุนทวนเข็มนาฬิกาการลงไปสำรวจ เหนือพื้นผิวดาวเนปจูน บรรยากาศจะหนาแน่นเต็มไปด้วยก๊าซHydrogen – Helium และ Hydrogen compounds ที่มีส่วนประกอบของน้ำ แอมโมเนีย ก๊าซมีเทน (เฉพาะก๊าซมีเทนมีมากกว่า ดาวเสาร์ และดาวพฤหัส 20%)การที่ก๊าซมีเทนลอยตัวสู่ด้านบน ของชั้นบรรยากาศ จึงดูดกลืนแสงสีแดงไว้ปลดปล่อยเฉพาะแสงสีน้ำเงินออกมา ในชั้นกลุ่มเมฆก๊าซมีเทนทำให้เห็นสีสันภายนอกของดาวเนปจูน เป็นเฉดสีน้ำเงินเข้ม (เป็นกรณีเดียวกับดาวยูเรนัส) ดาวเนปจูน ใช้เวลาโคจรรอบดวงอาทิตย์ถึง 165 ปี โดยมีจุดโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด ระยะ 4.5 พันล้าน กม.ในแต่ละวัน ถ้าใช้ชีวิตอยู่บนดาวเนปจูนมีเพียง 16 ชั่วโมงเมื่อเทียบกับโลก พร้อมกับความหนาวเย็นมาก -214 องศา C บนดาวเนปจูนชั้นบรรยากาศ เป็นคล้ายแถบของกลุ่มเฆม มองเข้าไป จะพบพายุ หมุนแบบทวนเข็มนาฬิกา มีความกดดันสูง ความเร็ว 1,200 กม./ ชั่วโมง เช่นเดียวกับดาวพฤหัสเพียงแต่ขนาดไม่ใหญ่โตเท่า จากการก่อตัวพบว่าเปลี่ยนแปลงเป็นระยะๆ (ส่วนดาวพฤหัสเมื่อก่อตัวแล้ว มีความรุนแรงตลอดเวลายาวนานมาก)นอกจากนี้ดาวเนปจูนเหมือนกับดาวยูเรนัส และดาวพฤหัสตรงที่มีวงแหวนนั้นเอง แต่หากใช้กล้องดูดาวส่องจากพื้นโลกจะไม่สามารถเห็นวงแหวนของดาวเนปจูนได้เพราะระยะทางที่ห่างไกลเกินไป แต่ภาพถ่ายจาก ยานวอยเอเจอร์ยานอวกาศเพียงลำเดียวที่เคยเดินทางไปสำรวจดาวเนปจูนคือยานวอยเอเจอร์ 2 (Voyager 2) ซึ่งได้เดินทางไปถึงดาวเนปจูนในปี 1989 พร้อมทั้งถ่ายภาพดาวเนปจูนในระยะใกล้เป็นภาพแรกกลับมายังโลก นอกจากนั้นยังได้ถ่ายภาพยืนยันว่าดาวเนปจูนมีวงแหวนอีกด้วยหลังจากวงแหวนของดาวเนปจูนถูกค้นพบมาแล้วก่อนหน้านั้น ทั้งนี้ยานวอยเอเจอร์ 2 ยังได้ค้นพบดวงจันทร์ของดาวเนปจูนเพิ่มเติมจากเดิมอีก 6 ดวงด้วยในช่วงที่ยานวอยเอเจอร์ 2 บินผ่านนั้นดาวเนปจูนมีจุดสีเข้มขนาดใหญ่(Great Dark Spot)ในซีกใต้ จุดนี้มีขนาดประมาณ ครึ่งหนึ่งของจุดแดงใหญ่บนดาวพฤหัสบดีหรือใหญ่เท่าโลก จุดนี้จะเคลื่อนไปทางตะวันตกด้วยความเร็ว 300 เมตรต่อวินาที นอกจากนี้ยังมีจุดสีเข้มขนาดเล็กทางซีกใต้และจุดสว่างขนาดเล็กซึ่งหมุนรอบดาวเนปจูนทุก 16 ชั่วโมงที่เรียกว่าสกูตเตอร์(Scooter) มันอาจจะเกิดมาจากบรรยากาศด้านล่างเมื่อกล้องฮับเบิลส่องไปที่ดาวเนปจูนเมื่อปี ค.ศ.1994 จุดใหญ่นั้นหายไป มันอาจจะหายไปเลยหรืออาจจะถูกปกคลุมโดยบรรยากาศ หลายเดือนต่อมาฮับเบิลพบจุดสีเข้มขนาดใหญ่อยู่ทางซีกเหนือของดาวแสดงว่าบรรยากาศมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อาจจะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิระหว่างด้านบนและด้านล่างของเมฆก็ได้
ในชั้นบรรยากาศมีกระแสลมที่รุนแรงมาก ความเร็วมีกระแสลมเร็วที่สุดในระบบสุริยะ คือ 2,000กม. /ชม. อุณหภูมิพื้นผิวประมาณ -220 องศาเซลเซียส เนื่องจากอยู่ไกลดวงอาทิตย์มาก แต่แกนกลางภายในของดาวเนปจูน ประกอบด้วยหินและก๊าซร้อนประมาณ 7,000 องศาเซลเซียส บนดาวเนปจูนความร้อนจะออกมาจากภายในสู่ภายนอก มากกว่าพลังงานที่รับจากดวงอาทิตย์ เพื่อทำให้ลมพัด มีแกนกลางที่มีขนาดเล็กเป็นแกนหินขนาดเท่าโลก มีน้ำและหินมีค่าใกล้เคียงกันสนามแม่เหล็กของดาวเนปจูนมีลักษณะแปลกประหลาดคล้ายของดาวยูเรนัส คือ มีแกนสนามแม่เหล็กเอียงออกมาจากแกนการหมุนรอบตัวเองถึง 47 องศา และไม่อยู่ในแนว ศูนย์กลางดวง แต่เคลื่อนห่างออกไป 0.55 ของรัศมีดวง หรือประมาณ 13,500 กิโลเมตร มีสภาพสนามแม่เหล็กที่ซับซ้อน คาดว่าเกิดจากสนามเหนี่ยวนำภายในชั้นเปลือก ของแกนกลางทำให้เกิดสนามแม่เหล็กขึ้นวงโคจรของดาวเนปจูนมีความรีน้อยมากเมื่อเทียบกับดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ (ยกเว้นดาวศุกร์) นั้นคือมีความกลมค่อนข้างมาก โดยมีจุดไกลดวงอาทิตย์มากที่สุด 4.54 พันล้านกิโลเมตร และจุดใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด 4.44 พันล้านกิโลเมตร คือมีความแตกต่างกันเพียงประมาณ 100 ล้านกิโลเมตรแกนหมุนของดาวเนปจูนมีความเอียง 28.3 องศาเมื่อเทียบกับระนาบการโคจรรอบดวงอาทิตย์ (ซึ่งคล้ายกับแกนโลกที่มีความเอียง 23.5 องศา) ซึ่งหมายความว่าบนดาวเนปจูนจะมีฤดูกาลเกิดขึ้นเช่นเดียวกันกับโลก แต่เนื่องจากดาวเนปจูนมีคาบเวลาการโคจรรอบดวงอาทิตย์ยาวนานถึง 164.8 ปี ฤดูกาลแต่ละฤดูกาลจึงยาวนานถึงประมาณ 40 ปี และเนื่องจากคาบเวลาการโคจรรอบดวงอาทิตย์ 164.8 ปีนี่เอง ทำให้ดาวเนปจูนยังโคจรไม่ครบ 1 รอบดีในปีนี้(ปี 2009) ตั้งแต่ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกในปี 1846 (จะโคจรครบ 1 รอบในปี 2011)ชั้นบรรยากาศของดาวเนปจูนประกอบด้วยแก๊สไฮโดรเจน 79 เปอร์เซนต์ ฮีเลียม 18 เปอร์เซนต์ แก๊สมีเทนและแก๊สอื่นๆอีก 3 เปอร์เซนต์ และแก๊สมีเทนในชั้นบรรยากาศนี่เองที่เป็นตัวดูดกลืนแสงสีแดงพร้อมทั้งสะท้อนแสงสีน้ำเงินทำให้เราสังเกตุเห็นดาวเนปจูนปรากฏเป็นสีน้ำเงินชั้นบรรยากาศของดาวเนปจูนมีความแปรปรวนสูงมีพายุขนาดใหญ่และกระแสลมที่รุนแรงมาก โดยอาจมีกระแสลมแรงถึง 2160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อุณหภูมิบนพื้นผิวของดาวเนปจูนมีความหนาวเย็นมากคือมีอุณหภูมิโดยเฉลี่ย -200 องศาเซลเซียส เนื่องจากว่าดาวเนปจูนอยู่ห่างไกลจากดวงอาทิตย์มาก ความร้อนจากดวงอาทิตย์จึงมีผลต่อดาวเนปจูนน้อยมาก ความร้อนส่วนใหญ่ที่มีผลต่อบรรยากาศบนดาวเนปจูนจึงมาจากความร้อนภายในแกนของดาวเนปจูนเองพายุความกดดันสูง หมุนทวนเข็มนาฬิกาการลงไปสำรวจ เหนือพื้นผิวดาวเนปจูน บรรยากาศจะหนาแน่นเต็มไปด้วยก๊าซHydrogen – Helium และ Hydrogen compounds ที่มีส่วนประกอบของน้ำ แอมโมเนีย ก๊าซมีเทน (เฉพาะก๊าซมีเทนมีมากกว่า ดาวเสาร์ และดาวพฤหัส 20%)การที่ก๊าซมีเทนลอยตัวสู่ด้านบน ของชั้นบรรยากาศ จึงดูดกลืนแสงสีแดงไว้ปลดปล่อยเฉพาะแสงสีน้ำเงินออกมา ในชั้นกลุ่มเมฆก๊าซมีเทนทำให้เห็นสีสันภายนอกของดาวเนปจูน เป็นเฉดสีน้ำเงินเข้ม (เป็นกรณีเดียวกับดาวยูเรนัส) ดาวเนปจูน ใช้เวลาโคจรรอบดวงอาทิตย์ถึง 165 ปี โดยมีจุดโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด ระยะ 4.5 พันล้าน กม.ในแต่ละวัน ถ้าใช้ชีวิตอยู่บนดาวเนปจูนมีเพียง 16 ชั่วโมงเมื่อเทียบกับโลก พร้อมกับความหนาวเย็นมาก -214 องศา C บนดาวเนปจูนชั้นบรรยากาศ เป็นคล้ายแถบของกลุ่มเฆม มองเข้าไป จะพบพายุ หมุนแบบทวนเข็มนาฬิกา มีความกดดันสูง ความเร็ว 1,200 กม./ ชั่วโมง เช่นเดียวกับดาวพฤหัสเพียงแต่ขนาดไม่ใหญ่โตเท่า จากการก่อตัวพบว่าเปลี่ยนแปลงเป็นระยะๆ (ส่วนดาวพฤหัสเมื่อก่อตัวแล้ว มีความรุนแรงตลอดเวลายาวนานมาก)นอกจากนี้ดาวเนปจูนเหมือนกับดาวยูเรนัส และดาวพฤหัสตรงที่มีวงแหวนนั้นเอง แต่หากใช้กล้องดูดาวส่องจากพื้นโลกจะไม่สามารถเห็นวงแหวนของดาวเนปจูนได้เพราะระยะทางที่ห่างไกลเกินไป แต่ภาพถ่ายจาก ยานวอยเอเจอร์ยานอวกาศเพียงลำเดียวที่เคยเดินทางไปสำรวจดาวเนปจูนคือยานวอยเอเจอร์ 2 (Voyager 2) ซึ่งได้เดินทางไปถึงดาวเนปจูนในปี 1989 พร้อมทั้งถ่ายภาพดาวเนปจูนในระยะใกล้เป็นภาพแรกกลับมายังโลก นอกจากนั้นยังได้ถ่ายภาพยืนยันว่าดาวเนปจูนมีวงแหวนอีกด้วยหลังจากวงแหวนของดาวเนปจูนถูกค้นพบมาแล้วก่อนหน้านั้น ทั้งนี้ยานวอยเอเจอร์ 2 ยังได้ค้นพบดวงจันทร์ของดาวเนปจูนเพิ่มเติมจากเดิมอีก 6 ดวงด้วยในช่วงที่ยานวอยเอเจอร์ 2 บินผ่านนั้นดาวเนปจูนมีจุดสีเข้มขนาดใหญ่(Great Dark Spot)ในซีกใต้ จุดนี้มีขนาดประมาณ ครึ่งหนึ่งของจุดแดงใหญ่บนดาวพฤหัสบดีหรือใหญ่เท่าโลก จุดนี้จะเคลื่อนไปทางตะวันตกด้วยความเร็ว 300 เมตรต่อวินาที นอกจากนี้ยังมีจุดสีเข้มขนาดเล็กทางซีกใต้และจุดสว่างขนาดเล็กซึ่งหมุนรอบดาวเนปจูนทุก 16 ชั่วโมงที่เรียกว่าสกูตเตอร์(Scooter) มันอาจจะเกิดมาจากบรรยากาศด้านล่างเมื่อกล้องฮับเบิลส่องไปที่ดาวเนปจูนเมื่อปี ค.ศ.1994 จุดใหญ่นั้นหายไป มันอาจจะหายไปเลยหรืออาจจะถูกปกคลุมโดยบรรยากาศ หลายเดือนต่อมาฮับเบิลพบจุดสีเข้มขนาดใหญ่อยู่ทางซีกเหนือของดาวแสดงว่าบรรยากาศมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อาจจะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิระหว่างด้านบนและด้านล่างของเมฆก็ได้
วงแหวนแต่ละวงแหวนของดาวเนปจูน วงแหวนของดาวเนปจูน (อังกฤษ: Rings of Neptune) มีลักษณะมีความสว่างไม่มากนัก เพราะประกอบด้วยอนุภาคที่เป็นผงฝุ่นขนาดเล็ก (1 ไมโครเมตร = 10-6 เมตร) จนถึงขนาดประมาณ 10 เมตร เช่นเดียวกับวงแหวนของดาวพฤหัสบดีและดาวยูเรนัส ซึ่งนักดาราศาสตร์สำรวจพบระบบวงแหวนของดาวเนปจูนเป็นครั้งแรกในช่วงทศวรรษที่ 60 และในปี 1989 ยานวอยเอเจอร์ 2ได้บินผ่านเข้าไปใกล้ดาวเนปจูนและบันทึกภาพส่งกลับมายังโลก ทำให้นักดาราศาสตร์พบว่าดาวเนปจูนมีวงแหวนล้อมรอบด้วยกันถึง 5 วงวงแหวนของดาวเนปจูน ได้แก่ วงแหวนแอดัมส์ (Adams), วงแหวนอราโก (Arago), วงแหวนแลสเซลล์ (Lassell), วงแหวนเลอ แวรีเย (Le Verrier) และวงแหวนกัลเลอ (Galle) นอกจากนั้นยังมีวงแหวนที่จางมากๆ และยังไม่มีชื่ออีก 1 วง ที่อยู่ในวงโคจรเดียวกันกับดวงจันทร์แกลาเทีย (Galatea) และยังมีดวงจันทร์บริวารของดาวเนปจูนอีก 3 ดวง คือ เนแอด (Naiad), ทาแลสซา (Thalassa) และดิสพีนา (Despina) ที่มีวงโคจรอยู่ภายในระบบวงแหวนเช่นเดียวกัน จากดวงจันทร์บริวารทั้งสิ้น 13 ดวงของดาวเนปจูนที่พบแล้วในตอนนี้ ประวัติการค้นพบ วงแหวนของดาวเนปจูนไม่สามารถมองเห็นได้ผ่านทางกล้องโทรทรรศน์ขนานเล็ก โดยการค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1980นักวิทยาศาสตร์ได้สังเกตการ์ณดาวเนปจูนกล้องโทรทรรศน์ขยายใหญ่ ซึ่งเห็นวงแหวนบางส่วนและดาวเนปจูน "กระพริบตา" เพียงเล็กน้อยจนถึงในปี ค.ศ. 1989ยานวอยเอเจอร์ 2 ได้บินผ่านเข้าไปใกล้ดาวเนปจูนและบันทึกภาพส่งกลับมายังโลก ปรากฏว่าวงแหวนของดาวเนปจูนประกอบด้วย วัตถุเล็กๆ สีมืดคล้ำ กระจายเป็นวงรอบดาวเนปจูนวงแหวนบางส่วนเล็กและบาง จนไม่สามารถสังเกตเห็นจากโลก สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นฝุ่น ที่เกิดจากเศษดาวเคราะห์พุ่งชนดาวบริวารของดาวเนปจูนจนฟุ้งกระจาย และถูกดาวเนปจูนดึงดูดไว้ กลายเป็นส่วนประกอบในวงแหวน ในภายหลังนักดาราศาสตร์พบว่าดาวเนปจูนมีวงแหวนล้อมรอบด้วยกันถึง 5 วง วงแหวนชั้นนอกสุดของดาวเนปจูนมีชื่อว่า วงแหวนแอดัมส์ (Adams) ส่วนชั้นที่อยู่ถัดเข้าไปด้านในอีก 4 วง ได้แก่ วงแหวนอราโก (Arago), วงแหวนแลสเซลล์ (Lassell), วงแหวนเลอ แวรีเย (Le Verrier) และวงแหวนกัลเลอ (Galle) นอกจากนั้นยังมีวงแหวนที่จางมากๆ และยังไม่มีชื่ออีก 1 วงขนาดวงแหวนวงแหวนของดาวเนปจูนประกอบด้วยฃอนุภาคที่เป็นผงฝุ่น
ชื่อวงแหวน
|
รัศมี
|
ความกว้าง
|
ความห่างจากใจกลางของดาวเนปจูน (กม.)
|
กัลเลอ (Galle)
|
40,900 - 42,900
|
2,000
|
42,000
|
เลอ แวรีเย (Le Verrier)
|
53,200
|
113
|
53,000
|
แลสเซลล์ (Lassell)
|
53,200 - 57,200
|
4,000
|
?
|
อราโก (Arago)
|
57,200
|
<100
|
57,000
|
แอดัมส์ (Adams)
|
62,932
|
15 - 50
|
61,000
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น